ประเทศภูฏาน หรือ พระราชอาณาจักรภูฏาน แผ่นดินที่ถูกโอบล้อมไปด้วยแนวเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งร่ำรวยไปด้วยวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์และงดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อในพระพุทธศาสนาแบบวัชรยานแบบพุทธตันตระหรือลัทธิลามะแบบทิเบตที่ยังคงปรากฏอยู่ทั่วทั้งแผ่นดินภูฏานได้แก่ การก้มลงกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์โดยให้อวัยวะทั้ง 8 จรดสัมผัสลงไปราบกับพื้นไม้/ดินตลอดจนถึงผู้คนที่นั่งนับสายประคำ การแกว่งกงล้อธรรมพร้อมทั้งเสียงสวดมนต์ ตามวิหาร อาราม สถูป พระเจดีย์ เป็นต้น ความร่ำรวยทางวัฒนธรรมได้ถูกปรากฏตั้งแต่เมื่อเครื่องบินถูกสัมผัสกับแผ่นดินท่ามกลางผืนนาในหุบเขาพาโรทางด้านทิศตะวันตกของประเทศและสร้างเสร็จอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2529
หากสังเกตอย่างถ้วนถี่จะพบว่าคนภูฏานสร้างบ้านมีความละม้ายคล้ายคลึงกันคือกำแพงก่อด้วยดินผสมด้วยเศษฟางอัดทับเข้าด้วยกันจนแน่นและแข็งแรง ลักษณะเด่นเห็นจะเป็นบานกรอบหน้าต่างซึ่งทำด้วยไม้มีการเขียนลวดลายและระบายสีจนเกิดความสดใสและสวยงาม บ้านที่เก่าแก่จะมีลักษณะเป็นอาคาร 4 ชั้น โดยชั้นล่างไว้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ ได้แก่ หมู ม้า ลา เป็นต้น ส่วนชั้นที่ 2 และ 3 เป็นห้องครัว ห้องพักผ่อน ห้องเก็บของ และชั้นบนสุดมีลักษณะเปิดโล่งให้แสงแดดและสายลมได้ส่องและลมโกรกเข้าออกได้ตลอดเวลาเพื่อการเก็บรักษาฟางไว้เป็นอาหารให้สำหรับบรรดาสัตว์เลี้ยง และห้องที่สำคัญที่สุดซึ่งทุกบ้านต้องมีคือ ห้องพระ ส่วนกำแพงบ้านที่ทาด้วยสีขาวนั้น นอกจากจะมีภาพวาดที่สวยงามและเป็นสิริมงคลอันเป็นความหมายที่ดีแล้วอย่างเช่น อัฐมมงคล หรือ มงคล 8 อย่างได้แก่ รูปดอกบัว, กงล้อธรรม, หอยสังข์, แจกันสมบัติ, ลายประแจจีน, ธงแห่งชัยชนะ, ฉัตรทองคำ และ ปลาคู่ เป็นต้นแล้วนั้น ภาพอื่นๆยังมีให้เห็นและสะดุดตาที่สุดนั่นคือ รูปองคชาติ (อวัยวะเพศชาย) นั่นเอง
รูปองคชาติ เป็นรูปที่ได้รับความนิยมวาดไว้ตามผนังกำแพงบ้าน ร้านค้าตลอดถึงร้านอาหาร และโรงแรมต่าง ๆ ล้วนมีสัญลักษณ์องคชาติประดับตกแต่งให้เห็นเด่นชัดกันทั่วบ้านทั่วเมืองจึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนภูฏานอย่างแน่นอน แต่คงเป็นเรื่องที่คนแบบเราจะสนใจใคร่รู้เรื่องนี้ ซึ่งจุดกำเนิดรูปภาพนี้มีเรื่องราวและเรื่องเล่าที่น่าสนใจเกี่ยวกับพิธีกรรมขอลูกและภาพองคชาติเกิดขึ้นที่ วัดสุนัขหาย นั่นเอง
(ภาพโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาชว์ภูริชญ์ น้อมเนียน สงวนลิขสิทธิ์ภาพ)
วัดสุนัขหาย หรือที่คนภูฏานเรียกว่า วัดชิมิลาคัง (Chimi Lhakhang) ตั้งอยู่บนเนินเขาที่เมืองพูนาคา ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1499 โดยพระงาหวัง ซอคเยล คนภูฏานเชื่อว่าหากไม่ประสบความสำเร็จเรื่องคู่ครองจะต้องมาแสวงบุญที่นี่ วัดแห่งนี้ยังมีความศักดิ์สิทธิ์เรื่องการมาขอพรให้ตั้งครรภ์มีลูกด้วย วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่ท่านดรุกปา คิลเลย์ (Drukpa Kuenley) ตามตำนานของคนภูฏานเล่าว่า ท่านดรุกปา คิลเลย์ ได้เผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานตันตระ จนได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในบรรดาพระอริยะเจ้าผู้เป็นที่รักยิ่งของคนภูฏาน โดยมีจุดเด่นในการเผยแผ่ธรรมนอกตำรา เช่นการใช้เพลง หรือบทกวีสองแง่สามง่าม นิทานที่มีเรื่องการร่วมเพศมาประกอบคำสอน เป็นจุดดึงดูดผู้คนให้เข้าถึงเนื้อแท้แห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า สำหรับข้อวัตรปฏิบัติของท่านจะแตกต่างจากพระลามะทั่วไป เช่น ชอบยิงธนูเล่น จนมีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่ง ชาวบ้านถามท่านว่าจะแสดงปาฏิหาริย์อะไรเพื่อพิสูจน์ว่ามีความสามารถแกล้วกล้าในคาถาอาคมจริง ท่านบอกให้ชาวบ้านไปหาแพะกับวัวมา แล้วท่านก็ชำแหละเนื้อมาฉันจนอิ่ม แล้วนำกะโหลกแพะกับซี่โครงวัวมาเสกจนกลายเป็น “ทาคิน” (Takin) ที่กลายมาเป็นสัตว์มีลักษณะพิเศษคือหัวเป็นแพะตัวเป็นวัว จนคนภูฏานนับถือว่าเป็นสัตว์พิเศษและยกย่องให้เป็นสัตว์ประจำชาติของภูฏาน
อีกตำนานหนึ่งเล่าขานกันว่า เมื่อท่านจาริกผ่านช่องเขาศิลา บนเส้นทางระหว่างนครหลวงทิมพู สู่อดีตราชธานีพูนาคา ท่านพบกับเด็กเลี้ยงวัวนั่งร้องไห้ เพราะถูกนางปีศาจแห่งช่องเขาศิลารังควานจนเลี้ยงวัวไม่เป็นสุข ท่านจึงสำแดงเดชด้วยการเสกองคชาติให้ยาวเป็นงูเลื้อยรอบกาย จนนางปีศาจตกใจกลัวเผ่นหนีลงจากภูเขา จากนั้นท่านจึงสาบให้นางปีศาจให้กลายเป็นสุนัข แต่เกรงว่าจะไปรังควานชาวบ้านอีก จึงปราบสุนัขปีศาจตัวนั้นหายไปในพริบตา ต่อมา มีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานบริเวณนั้น จึงเรียกขานว่า “ตำบลชิมิ” แปลว่าตำบลสุนัขหาย อุทิศถวายแด่ ท่านดรุกปา คิลเลย์ แล้วท่านก็ได้ทำนายว่า ในอนาคตจะมีการสร้างวัดขึ้นที่นี่ จึงเป็นที่มาของชื่อวัด “ชิมิ” แปลว่า ไม่มีสุนัข
วัดชิมิลาคัง ต้องใช้การเดินเท้า (Trekking) ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ทางเดินเป็นธรรมชาติ ได้สัมผัสกับทุ่งนาและหมู่บ้านคนภูฏานแบบธรรมชาติพร้อมทั้งภาพองคชาติที่ประดับตามผนังบ้านหลากหลายรูปแบบตลอดถึงองคชาติที่ทำด้วยไม้ที่มีลักษณะใหญ่ กลาง เล็ก และสีสันที่สดสวย สดใสหลากหลายและราคาที่จับต้องได้เรียงรายชวนให้เข้าไปสัมผัส สำหรับพิธีกรรมการขอบุตรเริ่มต้นจากสตรีผู้นั้นต้องเดินทางไปด้วยตนเองโดยปราศจากสามี (ข้อนี้คือเคล็ดลับสำคัญ) จากนั้นเดินขึ้นไปยังวิหารซึ่งเป็นห้องที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ตลอดจนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลากหลายพระองค์ เมื่อไปถึงแล้วให้ไปแจ้งพระลามะว่าจะมาประกอบพิธีขอลูก ท่านจะทำการเคาะหัวสตรีที่ต้องการขอบุตรด้วยงาช้างขนาดยาว 10 นิ้ว ต่อด้วย แท่งไม้ และไม้รูปองคชาติที่แกะสลักมาจากกระดูก จากนั้นสตรีจะนำไม้แกะรูปองคชาติขนาดใหญ่หนักประมาณ 2 กิโลกรัมเดินลงจากวิหารเพื่อเวียนประทักษิณรอบวิหารจำนวน 7 รอบ โดยเคล็ดนี้ถือว่าเป็นจำนวนเท่ากับก้าวที่เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งประสูติจากพระมารดาทรงก้าวพระบาท 7 ก้าว เมื่อครบแล้วกลับขึ้นไปบนวิหารเพื่อให้การขอพรนั้นสำเร็จตามที่ปรารถนา หากสำเร็จแล้วมารดาบางท่านจะนำรูปของเด็กกลับมาเพื่อมอบให้แก่ทางวัด ซึ่งจะพบเห็นได้จากรูปภาพและรายชื่อเด็กเหล่านั้นบนวิหาร สำหรับชื่อมารดาอาจจะต้องกลับมาที่วัดเพื่อให้พระลามะตั้งชื่อเป็นภาษาภูฏานอีกครั้ง โดยส่วนใหญ่เด็กที่เกิดจากการขอบุตรที่วัดนี้จะชื่อ “คุนเล่ห์” ตามชื่อของบุคคลที่นำไม้แกะรูปองคชาติมาจากจากทิเบต และชื่อ ชิมิ แปลว่า ไม่มีสุนัขอันเกิดจากการปราบของท่านดรุกปา คินเลย์นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง คนภูฏานจึงนิยมวาดรูปองคชาติประดับไว้ที่กำแพงบ้าน ร้านค้าตลอดถึงร้านอาหาร และโรงแรมต่าง ๆ นัยว่าเป็นยันต์กันภูตผีปีศาจไม่ให้มากรายกล้ำ บ้างก็เป็นไม้แกะสลักทาสีแดงติดไว้ที่ประตู แขวนไว้ที่ยุ้งฉาง ด้วยเชื่อว่าจะนำโชคลาภอีกทั้งความอุดมสมบูรณ์มาสู่ครอบครัว จึงไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด และเป็นที่รู้กันว่า สามีภรรยาที่ปรารถนาอยากมีบุตร หนุ่ม-สาวที่ครองโสดอยากมีคู่ครอง จะชวนกันไปทำบุญที่วัดสุนัขหายและปฏิบัติตามพิธีอย่างเคร่งครัด และอธิษฐานให้ความปรารถนาเป็นจริง ปรากฏการณ์รูปภาพองคชาติตามกำแพงบ้าน คือร่องรอยของศาสนาพุทธนิกายวัชรยานตันตระ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในวิถีชีวิตคนภูฏาน แม้ว่าในทางปฏิบัติ การฝึกตันตระโดยใช้กิเลสเป็นอุบายสู่การบรรลุธรรม จะถูกยกเลิกไปแล้วก็ตามที
อ้างอิง :
ทวีทอง หงส์วิวัฒน์, ยอดแก้ว อักษรา. (2544). เที่ยวไป กินไป ในต่างแดน. กรุงเทพฯ:แสงแดด
พิสมัย จันทวิมล. (2543). ภูฏาน มนต์เสน่ห์ในอ้อมกอดหิมาลัย. กรุงเทพฯ:อมรินทร์
มนทิรา จูฑะพุทธิ.(2554). ภูฏาน ความสุข พุทธศาสนา และลามะน้อยผู้กลับชาติมาเกิด. กรุงเทพฯ:บอสส์การพิมพ์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาชว์ภูริชญ์ น้อมเนียน ภาควิชามนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,
E-mail: banaras2009@gmail.com
ผู้เขียน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาชว์ภูริชญ์ น้อมเนียน ภาควิชามนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
แหล่งที่มา : ศิลปวัฒนธรรมออนไลน์. ค้นหาได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_33742