ประเทศอินเดียเป็นประเทศแห่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลก ทั้งยังเป็นต้นแบบของวัฒนธรรมต่าง ๆ หลากหลาย ซึ่งแน่นอนต้องรวมถึงเป็นต้นรากแห่งวัฒนธรรมของประเทศไทยเราด้วย แต่เมื่อพูดถึงประเทศอินเดีย สิ่งที่เราจะนึกถึงกลับไม่ใช่อารยธรรมที่รุ่งเรืองและสืบทอดมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน หากแต่เรากลับไปมองเห็นเพียงความยากจน ความสกปรก ขอทาน อาหารไม่อร่อย เหล่านี้ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะเข้าไปสัมผัสอินเดีย หรือหากไปก็จะเลือกเป็นประเทศสุดท้าย
แต่ถ้าเราลองนึกย้อนไป เราคงต้องยอมรับว่าอินเดียเป็นต้นแบบของอารยธรรมและวัฒนธรรมทั้งในด้านปรัชญา ความคิด ความเชื่อ เป็นต้นแบบของศิลปกรรมหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นงานสถาปัตยกรรม ศิปลกรรม นาฎศิลป์ รวมไปถึง เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร งานประเพณีต่าง ๆ และสิ่งที่น่าพิศวงสำหรับประเทศอินเดียคือ การผ่านร้อน ผ่านหนาวจากการถูกรุกรานและยึดครองโดย อารยัน มองโกล มุสลิม โปรตุเกส และอังกฤษ แต่อินเดียยังคงยืนหยัดและแสดงเอกลักษณ์แห่งตนอยู่ได้อย่างเด่นชัด โดยอิทธิพลของชาติที่เข้ามารุกรานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิด รูปแบบการดำเนินชีวิต และความเป็นอินเดียได้เลย
ข้อมูลประเทศอินเดีย
ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ : สาธารณรัฐอินเดีย ( Republic of India )
ชื่อประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาล เรียกกันว่า “ ชมพูทวีป ” ซึ่งแปลว่า “ ทวีปแห่งไม้หว้า ” เพราะมีต้นหว้าขึ้นมากในดินแดนแห่งนี้ ส่วนคำว่า “ อินเดีย ” เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเรียกแม่น้ำสินธุ ว่า “ ฮินดู ” เนื่องจาก ชาวเปอร์เซียรู้จักอินเดีย โดยเข้ามาทางลุ่มน้ำนี้เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว ต่อมาเมื่อชาวกรีกเริ่มเข้ามา ได้ออกเสียงคำว่า ฮินดูเพี้ยนไปเป็น “ อินโดส ” และเพี้ยนออกไปเป็น “อินดุส” และ “อินเดีย” ตามลำดับ
แต่สำหรับชาวอินเดียแล้ว นิยมเรียกประเทศตนเองว่า “ภารตะ” หรือ “ภารตวรรษ” ซึ่งแปลว่า “ ประเทศภารตะ ” และเรียกตนเองว่าเป็น “ ชาวภารตะ” ทั้งนี้สืบเนื่องจากความเชื่อที่ว่า ชาวอินเดียสืบเชื้อสายมาจากท้าวภรต (อ่านว่า พะ–รต) ซึ่งเป็นต้นวงศ์ของเรื่องราวในมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดีย คือ “มหาภารตยุทธ์” ซึ่งมีชื่อเสียงคู่กันกับ “มหากาพย์รามายณะ” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “รามเกียรติ์”
อินเดียปัจจุบัน
ประเทศอินเดียมีเนื้อที่ทั้งหมด ประมาณ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าประเทศไทย 6 เท่า หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอินเดียปัจจุบันประกอบด้วย 28 รัฐ 7 เขตปกครองพิเศษ เมืองหลวงของประเทศคือเมืองเดลี อยู่ในรัฐหรยาณา และในแต่ละรัฐจะมีเมืองหลวงของรัฐนั้น ๆ ด้วย
ดินแดนสหภาพ
A. หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ B.จัณฑีครห์ C. ดาดราและนครหเวลี D. ดามันและดีอู E. ลักษณทวีป F.เดลี G. พอนดิเชอร์รี
รัฐ
|
|
สภาพภูมิประเทศ
อินเดียเป็นประเทศที่มีสภาพภูมิศาสตร์ทุกรูปแบบ คือ ที่ราบสูงอยู่ตอนเหนือ ซึ่งมีภูเขาหิมาลัยเป็นแนวเขตแดนธรรมชาติ และเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ โดยเฉพาะแม่น้ำสำคัญ 5 สาย ที่เรียกว่า “ปัญจมหานที” ได้แก่ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหี ตอนกลางเป็นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดในโลก ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือแถบแคว้นราชสถานเป็นส่วนของทะเลทรายทาร์ ส่วนทางตอนใต้มีทั้งที่ราบสูงอันแสนจะแห้งแล้ง และติดกับฝั่งทะเลซึ่งเป็นเขตมรสุม
เนื่องจากมีความหลากหลายในเชิงภูมิศาสตร์ เป็นเหตุให้อินเดียมีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก จากหนาวที่สุดที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี ไปจนถึงร้อนที่สุดจนคนตาย จากแห้งแล้งที่สุดไปจนถึงเขตที่มีฝนตกชุกที่สุดของโลก ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า อินเดียจะเป็นสวรรค์ของบรรดานักวิชาการด้านต้นไม้ พันธุ์พืชและสัตว์ต่าง ๆ อย่างยากที่ประเทศใดจะเทียบได้
ประชากร
อินเดียมีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากประเทศจีน คือ ประมาณ หนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านคน ส่วนใหญ่ร้อยละ 72 เป็นชนเผ่า อินโด-อารยัน ชนพื้นเมืองเดิมคือเผ่าดราวิเดียน หรือทมิฬ มีประมาณร้อยละ 25 นอกนั้นเป็นเผ่ามองโกล ทิเบตและเตอร์ก
ภาษา
อินเดียมีภาษาถิ่นมากกว่า 200 ภาษา แต่รัฐธรรมนูญรับรองเพียง 14 ภาษา และภาษาทางราชการคือภาษาฮินดี ซึ่งมีประชากรพูดมากที่สุดคือ ร้อยละ 40 ซึ่งภาษาฮินดีนี้คือการเปลี่ยนแปลงรูปมาจากภาษาสันสกฤตและภาษาบาลีนั่นเอง
การเมืองการปกครอง
อินเดียเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และกระจายอำนาจการปกครองในลักษณะสหพันธรัฐ (Federal System) แบ่งออกเป็นรัฐต่างๆ 28 รัฐ โดยล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2544 โลกสภาได้เห็นชอบร่างรัฐบัญญัติในการจัดตั้งรัฐใหม่ 3 รัฐ คือ รัฐฉัตตีสครห์ (Chattisgarh) รัฐอุตตะรันจัล (Uttaranchal) และรัฐฉรขันท์ (Jharkhand) ซึ่งแยกออกจากรัฐมัธยประเทศ อุตตระประเทศ และรัฐพิหาร ตามลำดับ และสหภาพอาณาเขตของรัฐบาลกลาง (Union Territories) อีก 7 เขต
รัฐธรรมนูญอินเดียแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลาง (Government of India) และรัฐบาลมลรัฐ (State Government) อย่างชัดเจน โดยรัฐบาลกลางดำเนินการเรื่องการป้องกันประเทศด้านนโยบายต่างประเทศ การรถไฟ การบิน และการคมนาคมอื่นๆ ด้านการเงิน ด้านกฎหมายอาญา ฯลฯ ส่วนรัฐบาลมลรัฐมีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของมลรัฐ
เศรษฐกิจ
อินเดียเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำ ประชากรกว่าร้อยละ 60 ยังประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัญหาความยากจนและการว่างงานเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากการปิดประเทศและดำเนินนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมภายในมานาน อย่างไรก็ดี อินเดียเริ่มเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เมื่อปี 2534 เนื่องจากต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งส่งผลให้มีการลงทุนจากต่างชาติในกิจการด้านไฟฟ้า พลังงาน และอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากนี้ ได้เปิดเสรีด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารในปี 2543 ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของอินเดียดีขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันอินเดียเป็นตลาดใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่ง จากนานาชาติ
ในปี 2547 เศรษฐกิจอินเดียเติบโตเป็นอันดับที่ 12 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในเอเชียรองจากญี่ปุ่นและจีน โดยมี GDP 505.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจอินเดียไตรมาสสุดท้ายของ ปี 2546 เติบโตถึงร้อยละ 10 เนื่องจากเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตรได้เต็มที่ การส่งออกเติบโตถึงร้อยละ 10 รายได้จากการลงทุนโดยตรงของต่างชาติมีจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ยต่ำลง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับร้อยละ 4.91 ตลาดเงินทุนแข็งแกร่ง เงินทุนสำรองต่างประเทศสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
วัฒนธรรม
อินเดียเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมอารยธรรมที่เก่าแก่ พุทธศาสนามีอิทธิพลต่ออินเดียทั้งที่เป็นวัฒนธรรมทางวัตถุและทางจิตใจ ได้มีสถาปัตยกรรม และปติมากรรมทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นมากมาย ล้วนมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เช่นสังเวชนียสถานอันเป็นสถานที่สำคัญที่ชาวพุทธทั่วโลกไปกราบนมัสการ ส่วนวัฒนธรรมทางจิตใจนั้นมีอิทธิพลต่อชาวอินเดียอยู่ไม่น้อย เช่นความเชื่อเรื่องอหิงสา เป็นต้น
วัฒนธรรมอินเดียแม้จะมีการเลือกปฏิบัติ แต่ให้เกียรติผู้หญิง คนอินเดียจะไม่แตะต้องร่างกายผู้หญิงในที่สาธารณะ มารยาทในการทักทายกัน ทั้งหญิงและชายจะพนมมือไหว้เหมือนคนไทย แต่ไม่ก้มศีรษะ ไม่มีการจับมือกันแบบเช็คแฮนด์เช่นชาวยุโรป ในชนบท ผู้ชายมักจ้องมองผู้หญิงโดยเฉพาะหญิงต่างชาติอย่างจริงจัง ไม่ต้องตกใจกลัว พวกเขามองเพราะสนใจและสงสัย ไม่ได้มีเจตนาจะมาทำร้ายแต่ประการใด
ศาสนา
อินเดียเป็นดินแดนแห่งศาสนาโดยแท้ ตั้งแต่โบราณกาลมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพราะอินเดียมีภูมิประเทศ ที่อยู่ และเผ่าชนเป็นปรัชญาเมธีต่างๆ ในการค้นคิดในเรื่องของชีวิตและทางด้านคำสั่งสอน จนเกิดลัทธิศาสนาต่างๆ มากมายที่สุดในโลก จะเรียกอินเดียเป็นโลกแห่งศาสนาก็ว่าได้ ศาสนาที่สำคัญมีอยู่ในโลกปัจจุบันเกิดในอินเดีย ถึง ๔ ศาสนา คือ พราหมณ์ หรือ ฮินดู พุทธ เชน หรือ นิครนถ์ และ ซิกข์
ข้อมูลการเตรียมตัวไปอินเดีย
การเดินทางไปประเทศอินเดียนั้นไม่ได้โหดร้ายและทุรกันดานอย่างที่เคยได้ยินกันมา เพียงแต่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะพบกับสภาพการต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถควบคุม หรือสั่งการได้ดังที่ใจเราปรารถนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นเสน่ห์หรือเอกลักษณ์ของประเทศอินเดียเลยทีเดียว
สิ่งที่ต้องเตรียมเป็นอย่างยิ่ง คือ การเตรียมใจ
การเตรียมใจประการแรกคือ การไปพบกับระบบการทำงานที่เวลาไม่มีความหมาย นั่นคือ ไม่มีความรีบร้อนในการทำงานในทุก ๆ เรื่อง เริ่มตั้งแต่เมื่อลงจากเครื่องบิน ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองที่ค่อยทำค่อยไป ไม่ได้ดูว่าจะมีคนคอยมากน้อยเท่าไหร่ ดังนั้นอาจต้องใช้เวลากว่าจะผ่านไปรับกระเป๋าได้นานพอสมควรคนอินเดียเป็นนายของเวลา ไม่ใช่เวลาเป็นนายเขา
การเตรียมใจประการที่สอง คือ เตรียมใจเข็นกระเป๋าเอง เวลาออกจากสนามบินและวันเดินทางกลับที่จะเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร ทั้งนี้เนื่องจากทางการอินเดียเข้มงวดมากในเรื่องการป้องกันวินาศภัย จึงต้องให้เจ้าของกระเป๋าเข็นกระเป๋าเองพร้อมโชว์ตั๋วเครื่องบิน จึงจะให้ผ่านเข้าไปได้ เจ้าหน้าที่ที่จัดบริการท่องเที่ยวให้ไม่สามารถเข้าไปในตัวอาคารได้เลยยกเว้นผู้ที่มีบัตร ซึ่งมีน้อยคนที่จะได้
การเตรียมใจประการที่สาม คือเตรียมถูกตรวจค้นกระเป๋าเป็นรายทางหลายจุดก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินได้และขอเตือนให้ท่านเก็บของเหล่านี้เข้ากระเป๋าใหญ่ทั้งขาไปและขากลับ คือ มีดทุกชนิดของมีคมต่าง ๆ รวมถึงกรรไกรตัดเล็บ ที่เปิดกระป๋อง ถ่านไฟฉาย เพราะทางการอินเดียจะไม่อนุญาตให้เอาขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด
การเตรียมใจประการที่สี่ การเตรียมไปพบการระบบการขายที่มีความทรหดอดทนเป็นที่สุด ท่านจะถูกเสนอขายสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ กัน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำงานของท่านหรือไปสอนลูกน้องของท่านได้อย่างหลากหลาย และท่านจะเห็นถึงความเพียรพยายาม และการช่วงชิงโอกาสที่ไม่น่าเชื่อ ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง
การเตรียมใจประการที่ห้า เรื่องนี้ต้องเตรียมทั้งใจและเตรียมทั้งหู เนื่องจากประเทศอินเดียจะนิยมการบีบแตรในขณะขับรถเป็นอย่างมาก ท่านจะสามารถสังเกตเห็นตามท้ายรถบรรทุกทุกคันจะเขียนไว้ว่า “HORN PLEASE” (โปรดบีบแตร) ท่านจะได้ยินเสียงแตรรถตลอดเวลาและท่านที่นั่งด้านหน้า จะได้รับความสนุกตื่นเต้นไปกับการขับรถของชาวอินเดียเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากเตรียมใจแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมโดยทั่วไปได้แก่
เสื้อผ้า ช่วงเดือนธันวาคม อากาศในประเทศอินเดียจะหนาวมาก ดังนั้น เครื่องกันหนาวจึงควรเตรียมไปให้พอเพียง ขอแนะนำให้เตรียมหมวกกันหนาวไปด้วยในกรณีที่นั่งในรถแล้วแอร์จะเป่าลงมาที่ศีรษะ เนื่องจากอินเดียใช้รถโดยสารที่ผลิตในประเทศดังนั้นจึง ไม่รับประกันในเรื่องการปรับระบบความเย็นภายในรถ อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในเดือนธันวาคม จะอยู่ประมาณ5 – 20 องศาเซลเซียส
รองเท้า ควรเป็นรองเท้าเดินที่ใส่สบาย เนื่องจากในแต่ละสถานที่มีความกว้างขวางใหญ่โต และต้องใช้การเดินชมเป็นส่วนใหญ่ จึงควรเลือกรองเท้าที่เดินสบาย และควรเตรียมถุงเท้าไปด้วย
เงิน ขอให้แลกเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐไปแล้วจึงไปแลกเป็นเงินรูปีอินเดียที่ โรงแรมที่พัก เนื่องจากในประเทศอินเดียห้ามนำเงินรูปีออกนอกประเทศ ท่านควรแลกเงินเป็นธนบัตรใบละ 100และ 50 ดอลล่าร์ ไปเนื่องจากจะแลกเงินรูปีได้ราคาดีกว่า ธนบัตรใบละ 10 และ 20 ดอลล่าร์
ขอเตือนว่า ของที่อินเดียมีหลายอย่างที่น่าซื้อ ทั้งสำหรับใช้เองและเป็นของฝาก ราคาพอสมควร ดังนั้น ขอให้ท่านเตรียมพร้อมในเรื่องของการซื้อของ ซึ่งในที่นี้รวมถึงเตรียมกระเป๋าพิเศษไปด้วย (ทางผู้จัดการท่องเที่ยวจะมีกระเป๋าเล็กแจกให้ท่าน 1 ใบ)
ระบบไฟฟ้า ประเทศอินเดียใช้ไฟ 220 แต่ปลั๊กไฟจะเป็นแบบรูกลม 3 ขา ซึ่งอาจลำบากกับผู้เดินทางบ้างในกรณีที่ต้องชาร์จแบตเตอรรี่ แต่สามารถขอสะพานสายต่อได้ที่โรงแรมที่พัก